วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

เราจะเดินสู่การสร้าง สาธารณรัฐอย่างไรจึงจะเป็นจริง



••••••••••••••••••

☆ต้องให้ความสำคัญกับงานการจัดตั้ง
  
●มีคำถามที่น่าสนใจและแพร่หลายกันในโซเชียลฯหรือบางคนก็คิดอยู่ในใจว่าตอนนี้ยังไม่มีแกนนำ,ไม่มีใครกล้าและไม่รู้ว่าการจัดตั้งแบบปิดลับนั้นเป็นอย่างไร?

ประเด็นนี้ขณะนี้มีองค์กรใต้ดินที่ประกาศว่า"ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐเป็นสาเหตุหลักของปัญหาหลักๆของประเทศนี้และเป็นเป้าหมายที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรวมทั้งดำเนินการกับทรัพย์สินของตระกูลนี้ด้วย"ไม่ทราบว่าพวกเราเคยรู้กันมาก่อนหรือไม่? เพราะเข้าใจว่าตอนนี้ยังรู้กันเฉพาะในส่วนสมาชิกที่มีการจัดตั้งอย่างรัดกุมเท่านั้นอย่างไรก็ตามคิดว่ายังมีกลุ่มต่างๆอีกมากที่ต้องการเปลี่ยนระบอบซึ่งหากพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้นก็จะเป็นกลุ่มนำพาการต่อสู้ได้แต่หากคิดว่ากำลังยังไม่พอก็ควรร่วมมือทางการเมืองกับกลุ่มต่างๆที่มีแนวทางคล้ายกัน,นี่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งเข้าใจว่าหลายกลุ่มคงมี Road Map ของตนเองอยู่แล้วแต่ต้องเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงซึ่งบางอย่างก็คงต้องพูดรายละเอียดกันในหน่วยจัดตั้งหรือการนัดหมายกันแบบปิดลับ และโดยทั่วไปหัวข้อสำคัญในตอนนี้ก็คือ ต้องเร่งรัดเรื่องการจัดตั้งแบบปิดลับเพื่อการส่งข่าวสื่อสารและมอบหมายภารกิจต่างๆเพื่อจะได้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างมีพลังและต่อเนื่อง

●การมีหน่วยจัดตั้งที่เข้มแข็งจะทำให้ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้เต็มที่ด้วยความปลอดภัย,พูดคุยแล้วก็สรุปเป็นข้อปฏิบัติแบ่งหน้าที่นำงานไปทำด้วยความรับผิดชอบ,การดำเนินการเช่นนี้พลังของประชาชนจึงจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลและสามารถจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริง

     ●ปัญหาคือคนทั่วไปไม่รู้ว่าการจัดตั้งที่ว่านี้ต้องทำอย่างไร ?

     อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นๆที่พวกเราส่วนใหญ่ก็อาจจะเคยผ่านกันมาบ้างแล้วเช่นในหน่วยงานราชการ, กรรมการวัด,บริษัทหรือแม้แต่พวกขายตรงอย่างแอมเวย์,กิฟฟานี่ก็มีการจัดตั้งทั้งนั้น

ตามประวัติมนุษย์รู้จักใช้พลังของการจัดตั้งมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้วการที่มนุษย์อยู่รอดและพัฒนาเข้มแข็งกว่าสัตว์โลกอื่นได้ก็เพราะรู้จักใช้พลังของการจัดตั้งจนกลายเป็นสัตว์โลกที่เอาชนะสัตว์โลกอื่นๆที่แข็งแรงกว่าหรือ บินได้,มีพิษร้าย,มีเขี้ยวเล็บแหลมคมล้วนพ่ายแพ้พลังของการจัดตั้งที่มนุษย์นำมาใช้ทั้งๆที่ตัวต่อตัวแล้ว มนุษย์อ่อนแอกว่ามาก

พวกศัตรูมันก็ใช้พลังการจัดตั้งเหมือนกันแต่มันเอามาใช้กดหัวประชาชน,ลองคิดดูง่ายๆว่าพวกทะเหี้ยมีการจัดตั้งเป็นหมวดหมู่,เป็นกรมกองเป็นกองร้อยกองพันกองพลใช่ไหม?

ข้าราชการก็มีหัวหน้างานระดับต่างๆไปจนถึงปลัดกระทรวงใช่ไหม?

ตำรวจอัยการศาลฯลฯก็มีการจัดตั้งทั้งนั้น

แล้วประชาชนล่ะทำไมไม่จัดตั้งกันขึ้นมาให้เข้มแข็งเพื่อสู้กับพวกมัน

●ปัญหาอุปสรรคอยู่ที่ไหน? อยากฝากประเด็นให้ถกเถียงแลกเปลี่ยนกันครับ,ถ้าประชาชนเราต่างคนต่างทำก็สู้เขาได้ยาก,เราต้องรวมพลังกันเท่านั้นรวมกันยิ่งเข้มแข็งยิ่งดี,การจัดตั้งที่รัดกุมของประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ,คนที่คับแค้นอัดอั้นอยากสู้และตาสว่างมีอยู่มากมายแต่ที่ยังสู้ไม่ได้เพราะยังมิได้จัดตั้งกันขึ้นมา,พลังประชาชนจึงยังไม่เข้มแข็งพอ

☆เร่งศึกษา(หลักการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม)เร่งจัดตั้งคือคำตอบสุดท้าย

หากคิดจะสร้างบ้านเล็กๆสักหลังลำพังคนสองคนก็ยังพอทำได้

แต่ถ้าจะสร้างคอนโด50ชั้นต้องมีการจัดตั้งกันอย่างดีเพื่อให้คนหลายฝ่ายเข้ามาทำงานร่วมกัน,ประสานงานกัน,ทำอะไรก่อนหลังตัองมีแบบแผนมีความรู้มีสถาปนิก,วิศวกรนายช่างเป็นสิบๆ,คนงานอีกหลายร้อย แค่ทำกันคนสองคนคงไม่สำเร็จแน่

●แล้วเราล่ะคิดอยากทำอะไร?

เปลี่ยนแปลงระบอบ ?

สร้างสาธารณรัฐ ?

งานใหญ่ขนาดนี้ทำเป็นหรือยังต้องใช้คนเท่าไหร่?

หาคนจากไหน?

ใครตัองทำอะไร? ไม่ใช่แค่จิ้มมือถือนะ


●ถ้าไม่จัดตั้งแล้วทำได้หรือ?

ถ้าไม่ศึกษาหาความรู้แล้วจะทำได้ไหม?

ฝากพวกเราคิดดู

☆เมื่อจัดกลุ่มศึกษาแล้วจะมีการเชื่อมต่อกับองค์กรปฏิวัตินำการเปลี่ยนแปลงสู่สาธารณรัฐต่อไป

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

คำแถลงพิเศษ องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.) 21 มีนาคม 2015


คำแถลงพิเศษ  
องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.)

     เมื่อประชาธิปไตยที่มีอยู่เพียงน้อยนิดต้องปิดฉากลงอีกครั้งหลังการรัฐประหารรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามความประสงค์ของ "ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ" ที่ครอบงำเหนืออำนาจอธิปไตยในประเทศไทยมายาวนาน ระบอบเผด็จการราชาธิปไตยเต็มรูปแบบที่โบราณล้าสมัย ได้ถูกขุดขึ้นมาใช้แทนที่ พวกเขาปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นอย่างสิ้นเชิง สิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยถูกปล้นไปด้วยอำนาจปืน สิทธิมนุษยชนถูกละเมิดอย่างทั่วด้าน ไม่สนใจต่อพันธสัญญาที่มีต่อประชาคมโลก ไม่สนใจกฎกติกา เสียงท้วงติงและการต่อต้านจากทั่วโลก ยังคงจับกุมคุมขังบังคับข่มขู่คุกคามและทรมานประชาชนที่คิดต่างอย่างไร้มนุษยธรรม ยัดเยียดข้อหาร้ายแรงด้วย ม.112 ตามอำเภอใจ และตัดสินคดีความตามคำบงการของ "ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ" โดยไม่สนใจหลักนิติรัฐ นิติธรรม

     ความขัดแย้งครั้งใหม่บนแผ่นดินนี้จึงต้องเกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่ประชาชนไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะคนรากหญ้าหลายสิบล้านคนไม่ยอมก้มหัวยอมทนให้ "ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ" กดขี่ขูดรีดเหยียบย่ำอยู่บนหัวประชาชนอีกต่อไป  เป็นความขัดแย้งที่กำลังลุกลามขยายตัวแผ่ซ่านและซึมลึกอยู่ในความรู้สึกที่คับแค้นอัดอั้นรอวันประทุ

แม้วันนี้พลังแห่งการต่อสู้เปลี่ยนแปลงของประชาชนยังกระจัดกระจายไม่เข้มแข็งพอที่จะกระชากจอมมารลงจากบัลลังก์เลือด แต่บางส่วนที่สุกงอมและพร้อมกว่าได้เริ่มหลอมรวมร่วมกันทั้งใจกายและสติปัญญาในนามของกลุ่ม บุคคล และองค์กรต่าง ๆ  อุทิศตนเพื่อภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ในทุกหนแห่งทั่วประเทศและทุกทวีปทั่วโลก มุ่งมั่นแสวงหาระดมสรรพปัจจัยมาเกื้อหนุนการต่อสู้ที่ชอบธรรมนี้อย่างขมีขมัน เพื่อเร่งวันที่ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนจะได้ฉายแสงเจิดจ้าเหนือฟ้าไทยอย่างแท้จริง

     การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จำเป็นต้องมีการจัดตั้งและการนำพาที่เข้มแข็ง  ความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการรวมตัวร่วมมือร่วมแรงและร่วมใจกันขององค์กร บุคคล และกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ภายใต้หลักเกณฑ์สำคัญ อาทิ

1. สถาปนาองค์กรแนวร่วมที่เข้มแข็งขึ้นมานำพาการต่อสู้ร่วมกัน 

2. องค์กรนำพาการต่อสู้นี้ ตั้งอยู่บนหลักการที่เสมอภาค เท่าเทียม เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ครอบงำซึ่งกันและกัน

3. สนับสนุน ส่งเสริม เผยแพร่ภารกิจของกันและกัน

4. แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ค่อย ๆ รวมกันให้แน่นแฟ้น ค่อย ๆ พูดคุยทำความเข้าใจในจุดที่ยังคิดเห็นแตกต่างกัน

5. ความขัดแย้งใด ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องคุยกันภายในฉันท์มิตร ไม่โจมตีกันออกสื่อ

6. ไม่ทรยศหักหลัง ขายความลับ

     องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.) เป็นองค์กรของประชาชนไทยอีกองค์กรหนึ่งซึ่งขอประกาศอย่างแน่วแน่ หนักแน่นและแข็งขันด้วยคำแถลงนี้ ในการเข้าร่วมต่อสู้กับประชาชนไทยและเพื่อนมิตรทั่วโลกทั้งที่เป็นองค์กร บุคคล และกลุ่มบุคคล เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชน

     องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.) จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดงานประชุมใหญ่ประจำปี ณ วันที่  22 มีนาคม 2015 ที่เมืองลอสแอนเจิลลีส รัฐแคลิฟอร์เนีย ของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่จะผลักดันให้การเปลี่ยนโครงสร้างสังคมครั้งใหญ่ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยของประชาชน บรรลุผลสำเร็จด้วยดีทุกประการ


องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.)

21 มีนาคม 2015

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

ภูมิพลและหลานสาว ขายหุ้น ให้ผู้ซื้อลึกลับ




ศุลี ศรีอีสาน
มีนาคม 2558

กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยชื่อ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แจ้งรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ที่จะมีผลใช้บังคับในเดือนมีนาคม 2558 เป็นต้นไป

เอกสารระบุว่า บริษัทอาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน ปัจจุบันถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 25.25 ของสัมมากร จะซื้อหุ้นจำนวน 135,564,380 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 23.00 ของผู้ถือหุ้นลำดับที่1 และลำดับที่ 3 ภายในเดือนมีนาคม 2558 ส่งผลให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 48.25
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าในสมุดทะเบียนล่าสุดของ RPC มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ นายวิชัย ทองแตง นักกฎหมายชื่อดัง และเป็นนักลงทุนที่มีพฤติกรรมล่ากิจการคนสำคัญร่วมสมัย ที่คนทั่วไปเรียกเขาว่า “ทนายทักษิณ”
การซื้อขายดังกล่าว ทำให้สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า “SAMCO พุ่งชนเพดาน 29.31% รับวิชัย ทองแตงนำ RPC ถือหุ้นเพิ่ม” และชื่อของวิชัย ทองแตง ก็มีผลทำให้ราคาหุ้นวิ่งชนเพดานติดต่อกัน 3 วันรวด ก่อนจะโรยตัวลงเมื่อข้อเท็จจริงใหม่ระบุว่า ไม่มีชื่อของวิชัย เกี่ยวข้องอีกแล้ว

ข้อมูลผู้ถือ บริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC  ณ วันที่ 27/02/2558 



ส่วนผู้ขายตามที่ระบุในเอกสารชี้แจงนั้น หากดูสมุดทะเบียนของ SAMCO จะพบว่า ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ภูมิพล) ที่เดิมถือหุ้น 171,219,800 หุ้นหรือ  29.05%  และ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (หลานสาว ลูกของอดีตพระพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) ที่เคยถือหุ้น 40,891,400 หุ้น หรือ 6.94 %

ข้อมูลผู้ถือหุ้น บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO  ณ วันที่ 27/02/2558



          ผลลัพธ์จากการซื้อขายดังกล่าว ทำให้ หลังจากการซื้อขายแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ RPC ใน SAMCO จะเปลี่ยนไปจากเดิม 25.25% มาเป็น 48.25% ในขณะที่ สัดส่วนของกษัตริย์ภูมิพล จะลดลงจาก 29.05% เป็น 8.26% และหลานสาว จะลดจาก 6.94% เป็น 4.73% ซึ่งเท่ากับในทางปฏิบัติ แล้ว RPC จะเข้าไปถือหุ้นที่เข้าไปบริหารกิจการใน SAMCO ได้อย่างเต็มที่ หลังจากวันที่ตกลงในสัญญา
ความน่าสนใจของการซื้อขายหุ้น SAMCO ครั้งนี้อยู่ที่ว่า มีเงื่อนไขระบุชัดถึงความได้เปรียบที่ผู้ขายมีต่อผู้ซื้ออย่างชัดเจนว่า การซื้อหุ้นครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ RPC จะไม่ได้รับเงินปันผลจำนวน 0.15 บาท/หุ้น เนื่องจาก SAMCO ประกาศกำหนดสิทธิการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 26 ก.พ.58 เท่ากับว่า คนขายหุ้นของภูมิพลกับหลานสาว นอกจากขายหุ้นได้ราคาดีแล้ว ยังได้แถมพอรับเงินผันผลต่อแก ทั้งที่ไม่ได้ถือหุ้นอยู่ในมืออีกแล้ว
          เรียกว่า ภูมิพล และหลานสาว ใช้อภิสิทธิ์จนหยดสุดท้าย ก็ว่าได้
คำถามที่คนไทยอยากถาม แต่ไม่กล้าเอ่ยปากในประเทศไทยอย่างเปิดเผย คือ
1)   การซื้อขายหุ้นดังกล่าว มีแรงจูงใจอะไร ทั้งฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย
2)   ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิพล และหลานสาว กับวิชัย ทองแตง(ในนามของ RPC)
3)   เหตุใดสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นหมายเลข  4 ของ SAMCO จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เพื่อทำความเข้าใจกับเงื่อนงำดังกล่าว จะต้องย้อนกลับไปทบทวนความเป็นมาของกิจการทั้งของ SAMCO และ RPC เสียก่อน

SAMCO เดิมเป็นบริษัทส่วนตัวเพื่อรับจัดการหารายได้จากที่ดินในมือของทรัพย์สินส่วนกระองค์ โดยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บ้านสัมมากร บนที่ดินที่เป็นทุ่งนาเดิม ที่ถนนสุขาภิบาลสาย 3 (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของถนนรามคำแหง)ในเขตสะพานสูง กทม.มายาวนานหลายทศวรรษ

ในปี 2536 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยกำลังเฟืองฟูอย่างรุนแรงจากกระแสโลกาภิวัตน์หลังยุคสงครามเย็น ผู้ถือหุ้นและกรรมการของSAMCO ได้ตัดสินใจนำแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนเพื่อระดมทุนจากตลาด ไปขยายกิจการเพื่อให้ทันกับการแข่งขัน

การยื่นของเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนครั้งนั้น ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอย่างง่ายดาย เพราะเพียงแค่เห็นชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการของบริษัท(ซึ่งส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าล้วนเป็นเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น) ได้เงินไปหลายร้อยล้านบาท แต่ก็ไม่ได้ทำการขายธุรกิจมากมายนักยังคงทำธุรกิจบนที่ดินแปลงเดิมที่มีอยู่มากมายต่อไป

ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจไทยแตกจนย่อยยับ SAMCO ก็ตกอยู่ในสภาพ”ชักหน้าไม่ถึงหลัง”เช่นเดียวกัน เพราะรายได้หดหาย ขาดสภาพคล่องทางการเงินรุนแรง ต้องประคองตัวให้รอดอย่างทุลักทุเล บางปีไม่มีโครงการใหม่ๆเกิดขึ้นมาเลย มีรายได้ไม่ถึงปีละ 100 ล้านบาท ต้องพึ่งพารายได้จากสถานีบริการน้ำมันในโครงการมาจุนเจือไม่ให้ขาดทุน

หลังจากผ่านวิกฤตครั้งนั้น SAMCO ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงรู้จักดี ได้กลายเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีกิจกรรมในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้อยมาก เพราะมีโมเดลธุรกิจที่พ้นยุคไปแล้ว แม้ระยะหลังจะฟื้นตัวมาสร้างรายได้ระดับ 1 พันล้านบาทต่อปี ก็ไม่ได้ช่วยให้บริษัทมีกำไรมากมาย

ในช่วง 10 ปีมานี้ ราคาหุ้นของ SAMCO ไม่เคยขึ้นสูงกว่าหุ้นละ 3 บาทเลย เพราะมีผลประกอบการที่ย่ำแย่มาโดยตลอด เหตุผลสำคัญ สามารถเข้าใจได้ไม่ยากเพราะ กรรมการและผู้บริหารบริษัทนั้น ล้วนเป็น”เด็กเส้น”ในเครือข่ายราชสำนักทั้งสิ้น ไม่ใช่ผู้ช่ำชองทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ แม้กระทั่งในปัจจุบัน
                   รายชื่อกรรมการล่าสุด SAMCO
รายชื่อกรรมการ
ตำแหน่ง
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา
กรรมการผู้จัดการ
นายพงส์ สารสิน
กรรมการ
พ.ต.ต.ชินภัทร สารสิน
กรรมการ
นายธวัช อึ้งสุประเสริฐ
กรรมการ
นายกวี อังศวานนท์
กรรมการ
นายสัจจา เจนธรรมนุกูล
กรรมการ
นายพิพิธ พิชัยศรทัต
กรรมการ
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
กรรมการอิสระ
นายอนุทิพย์ ไกรฤกษ์
กรรมการอิสระ
นายสิทธิชัย จันทราวดี
กรรมการอิสระ
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
กรรมการอิสระ
นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
ประธานกรรมการตรวจสอบ
นายสิทธิชัย จันทราวดี
กรรมการตรวจสอบ
นายธวัชชัย ช่องดารากุล
กรรมการตรวจสอบ

           ทางด้าน RPC ก็มีที่มาค่อนข้างแปลก บริษัทดังกล่าว อาศัยสายสัมพันธ์กับผู้บริหารกลุ่ม ปตท.ในอดีต ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2538 โดยมีข้อตกลงว่า จะให้ปตท.เป็นผู้ป้อนวัตถุดิบสำหรับโรงงานกลั่นน้ำมันชนิดพิเศษ ที่ไม่ได้ซื้อน้ำมันดิบมากลั่น แต่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้จากโรงงานปิโตรเคมีในกลุ่มปตท. ที่เรียกว่า กากคอนเดนเสท (Condensate Residue หรือ CR)

การพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. ดำเนินการมีกำไรมาได้ด้วยดีมากกว่า15 ปี มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันใต้เครื่องหมายการค้า PURE นับ 100 แห่ง จนกระทั่งสามารถแต่งตัวเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2546 
ในปี 2555 กลุ่มปตท. ได้บอกเลิกสัญญาจัดส่งกากคอมเดนเสทซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสาหรับโรงกลั่นน้ามันของ RPC ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ทำให้ RPC ไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้ ต้องปิดโรงงานทิ้งไป เหลือแต่ชื่อของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจำต้องดิ้นรนเพื่อให้มีทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ต่อไป โดยอาศัยเงินสดเดิมที่มีอยู่ในกิจการเพื่อดำเนินการต่อไป

 RPC ได้เจรจากับกับ SAMCO เพื่อเข้าถือหุ้นบางส่วน หวังรักษาที่มาของรายได้ต่อไปให้ได้ โดย SAMCO ทำการเพิ่มทุนในปี 2556 จาก 450 ล้านบาท เป็น 589.41 ล้านบาท เพื่อขายให้กับ RPC กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2

เงินที่ได้รับจาก RPC ทำให้ SAMCO สามารถเพิ่มโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้ เติบโตสร้างรายได้และกำไรให้เห็นชัดเจน แม้จะไม่มากนัก




ต่อมาในปี 2557 คณะกรรมการของ RPC ได้ทำการเพิ่มทุนครั้งใหญ่จาก 802.87 ล้านบาท เป็น 1,304.66 ล้านบาท เพื่อขายให้กลุ่มนายวิชัย ทองแตง จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยนายวิชัยตั้งเป้าหมายว่า จะทำให้ RPC ที่ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี กลับมาทำกำไรด้วยการปรับธุรกิจมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือกหรือพลังงานไฟฟ้า

นายวิชัยถือหุ้น RPC มาได้ไม่นานก็ประกาศว่า มีความขัดแย้งในเป้าหมายธุรกิจกับกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่นของ RPC จึงได้ประกาศขายหุ้นทิ้งไปทั้งหมด โดยขายในตลาดชนิดที่”ตัดขาดทุน”
 ข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงชัดเจนว่า การซื้อขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SAMCO เพื่อให้ RPC เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวข้อกับนายวิชัย ทองแตง แม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีชื่อของนายวิชัยติดอยู่โดยนิตินัยที่ RPC อยู่

ปริศนาของการขายหุ้นของภูมิพลและหลานสาว โดยที่ลูกสาวไม่ได้ขายออกด้วยจึงเป็นปริศนาที่ชวนให้ตั้งคำถามเช่นกันว่า เกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งกุญแจที่จะไขความลับนี้ อยู่ที่รายชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคนใหม่ของ RPC ที่ถือต่อจากนายวิชัย ทองแตง เป็นสำคัญ ซึ่งจนถึงวันนี้ ยังไม่ปรากฏตัวออกมา

          ปริศนาของการขายหุ้นนี้ ทำให้เกิดคำถามตามว่า การปิดบังรายชื่อผู้ซื้อที่แท้จริง โดยซ่อนอยู่ในรูปของนิติบุคคลอย่าง RPC จะเป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อซ่อนเร้นทรัพย์สินของภูมิพลกับเครือข่ายราชสำนัก ในช่วงเวลาที่ใกล้หมดอายุขัย หรือไม่

          ความเป็นไปได้ทางหนึ่งคือ การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น หากจะมีการถ่ายโอนความมั่งคั่งส่วนตัวไปให้กับบุคคลอื่น การอำพรางว่าเป็นการซื้อขายหุ้น จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะนับแต่กฎหมายมรดกผ่านมามีผลบังคับใช้ในหลายเดือนมานี้ มีการโอนทรัพย์สินในรูปขายหุ้นอย่างมากมาย กรณีนี้อาจจะเป็นข้อสังเกตได้ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน

          คำตอบของเงื่อนงำในกรณีนี้ เป็นสิ่งที่ต้องค้นหา แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง


วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

แดงเสรีชน สหพันธรัฐสยาม และ จตุพร พรหมพันธ์



ศิวา มหายุทธ์
มีนาคม 2558
           
ปฏิบัติการของกลุ่มที่เรียกตนเอง(หรือถูกเรียก)ว่า แดงเสรีชน ที่พยายามจะวางระเบิดที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อค่ำวันที่ 7 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุมกลุ่มบุคคลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ”อ้างว่า” เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง และเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดงอื่นๆ สะท้อนพัฒนาการของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนสยามต่อกลุ่มเครือข่ายราชสำนักและกลุ่มเผด็จการอำมาตยาธิปไตย หลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ดังต่อไปนี้

1)     ผู้รักประชาธิปไตยในขบวนแถวคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ที่อยู่นอกสังกัดของ นปช.(แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ได้ยอมรับว่า ทางเลือกของสังคมสยามในอนาคตคือการเป็นสหพันธรัฐ ซึ่งแหวกกรอบแนวคิดในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบบจารีตเดิมที่วางอยู่บนรากฐานของรัฐเดี่ยวรวมศูนย์มาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
2)     คนกลุ่มหนึ่งพบว่า การจัดตั้งเพื่อปฏิบัติการด้วยตนเองนอกร่มเงาและอิทธิพลการชี้นำของทักษิณ ชินวัตร เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า โดยถือว่า นปช.เป็นเพียงแค่แนวร่วมประชาธิปไตยเท่านั้น
3)     คนกลุ่มที่ลงมือปฏิบัติการนี้ มีการจัดตั้งของตนเองอย่างเป็นอิสระ และยอมรับว่า แนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้น ไม่ได้มีแค่แนวทางเดียว แต่สามารถทำได้หลายเวทีอย่างยืดหยุ่น ทั้งการชุมนุมบนท้องถนน การต่อสู้ในเวทีรัฐสภา การต่อสู้ในพื้นที่สื่อ การตั้งกองกำลังเพื่อให้ความรุนแรง และการต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศ

ข้อเท็จจริงอย่างที่ทราบกันดีทั่วไปคือ ปฏิบัติการทางทหารของกลุ่มจัดตั้งดังกล่าว (ด้วยเจตนา โฆษณาติดอาวุธ) ประสบความล้มเหลว และถูกอำนาจรัฐจับกุมพร้อมกับดำเนินการขยายผล เพื่อกวาดล้างต่อไป เป็นความผิดพลาดทางด้านยุทธการ แต่กลับถูกประณามอย่างเหยียดยามโดยแกนนำของ นปช. นายจตุพร พรหมพันธ์

นายจตุพร (ตามมาด้วยการดาหน้าขานรับของแกนนำ นปช.อื่นๆ ผ่านทางช่อง PEACE TV ทีวีดาวเทียม อย่างเพลิดเพลินในการตีฝีปาก เพื่อรอวันเวลาจัดการชุมนุนมบนท้องถนนในอนาคตที่ไม่มีกำหนดชัดเจน) นอกจากปฏิเสธการเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มดังกล่าวแล้ว ยังระบุเลยว่า “ผมชอบคำของพล.อ.ประยุทธ์ที่ว่าคนบึ้มโง่ คนจ้างนี่โง่กว่า ผมเห็นด้วยจริง ๆครับ และขอต่อให้ด้วยว่าโง่บัดซบจริงๆ ที่มาที่ไปอธิบายอะไรไม่ได้มีเพียงผู้ก่อการมีความเชื่อทางการเมืองในรูปแบบสหพันธรัฐและพยายามผูกโยงไปถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข”

พร้อมกันนั้น นายจตุพร ยังย้ำชัดเจนว่า นปช.มีจุดยืนชัดว่าจะต่อสู้ในแนวทางสันติเท่านั้น ไม่เอาด้วยกับวิธีรุนแรง เพราะไม่เคยเชื่อว่า แนวทางอื่นจะถูกต้อง และจะไม่ทำงานสกปรกใต้ดิน  “เรายืนยันมาโดยตลอดว่า เรายืนยันการปกครองในระบอบเดียวเท่านั้น คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ท่าทีของนายจตุพร บอกชัดว่า เขาได้ 1)สถาปนาตนเองเป็นผู้ผูกขาดความถูกต้องในการนำของคนเสื้อแดงไว้เฉพาะแกนนำนปช.เท่านั้น 2) เขายืนหยัดว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เท่านั้นเป็นระบอบเดียวของสังคมสยามที่ นปช.ยึดมั่น  3) ไม่ยอมรับแนวทางอื่นใดในการต่อสู้ นอกจากแนวทางการชุมนุมทางการเมืองบนท้องถนน หรือ “ลัทธิชุมนุม”ที่พวกเขาถนัดเพียงอย่างเดียว โดยมีสื่อโทรทัศน์ส่วนตัวของกลุ่มแกนนำที่ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนการเมืองของทักษิณ ชินวัตรเสริมในฐานะเครื่องมือเท่านั้น แนวทางต่อสู้อื่นล้วนเป็น งานสกปรก และ”โง่บัดซบ” พร้อมจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย 4) เขายึดมั่นว่า นปช.คือแกนนำเบ็ดเสร็จของคนเสื้อแดง ที่ต่อสู้เพื่อผู้นำเดี่ยวอย่างทักษิณ ชินวัตร ที่มีพฤติกรรม”สู้ไป กราบไป”ตลอดหลายปีมานี้

ท่าทีดังกล่าว ถือเป็นการผูกขาดการนำของขบวนแถวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยไม่สนใจการสร้างแนวร่วมกับกลุ่มจัดตั้งอื่นๆ ไม่ใส่ใจกับการทบทวนบทบาทของ นปช.ในหลายปีที่ผ่านมาว่า ไม่เคยประสบความสำเร็จมากมาย และยัง”พาคนไปตาย”จำนวนมาก โดยไม่สามารถทำให้พลังประชาธิปไตยรุกคืบไปเอาชนะพลังเผด็จการได้แม้แต่น้อย

ท่าทีของนายจตุพร สมควรได้รับการก่นประณามอย่างถึงที่สุด เพราะนอกจากคิดจะเอาตัวรอดถ่ายเดียวโดยไม่รับผิดชอบต่อมวลชนที่ร่วมขบวนการต่อสู้เดียวกัน แต่ต่างแนวทางเท่านั้น หากยังแสดงท่าทีสมยอมเป็นแนวร่วมมุมกลับของเผด็จการสมคบคิดอำมาตยาธิปไตย และเครือข่ายราชสำนักอย่างหมดเปลือก

หลายเดือนที่ผ่านมา นายจตุพร และแกนนำ นปช. ได้พยายามเผยแพร่ข้อเสนอประหลาดของพรรคเพื่อไทยว่าด้วย ”แกล้งตายชั่วคราว” หรือ “ความอยู่ในความสงบ ให้ศัตรูทำลายตัวเอง คือ การตอบโต้ที่เจ็บปวด” เพื่ออำพรางพฤติกรรมแบบนักฉวยโอกาสของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เคยคิดจะใส่ใจกับความทุกข์ทรมานของมวลชนที่ถูกจำกัดเสรีภาพภายไต้อุ้งเท้าเผด็จการ เว้นแต่ในกรณีที่อำนาจเผด็จการสุมหัวเล่นงานเครือข่ายของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเท่านั้น

การร่วมขบวนของเผด็จการประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างข้อกล่าวหา ขบวนการต่อสู้นอกแนวทาง นปช. จึงเป็นพฤติกรรมที่เป็นเผด็จการในตัวเอง และเป็นแนวร่วมเผด็จการอย่างแท้จริง ถอยห่างออกจากการเป็นแนวร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างสังคมสยามที่ยุติธรรม เสรีภาพ เสมอภาค และกระจายอำนาจในอนาคต

กลุ่มปฏิบัติการปาระเบิดที่ศาลอาญา ซึ่งเรียกตนเองว่า แดงเสรีชน ได้ยอมรับว่า เป้าหมายการจัดตั้งของพวกเขาคือ การปกครองแบบสหพันธรัฐ  และประชาธิปไตยประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้มีการเผยแพร่สู่มวลชนคนเสื้อแดงมานานหลายปีแล้ว พร้อมกับได้กำหนดยุทธศาสตร์ "เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ" ประสานกับแดงเสรีชนในต่างประเทศ ก้าวสู่เป้าหมายการสร้างระบอบใหม่ขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

แนวทางของกลุ่ม แดงเสรีชน นี้ สอดคล้องกับแนวทางสหพันธรัฐแบบสวิส ของ ศิวา มหายุทธ์ ที่นำเสนอไปไม่นานมานี้ และศิวะ รณยุทธ์(ที่นำเสนอเมื่อหลายปีก่อน) ที่มองเห็นว่าแนวทางดังกล่าว เป็นประโยชน์และให้คำตอบที่เหมาะสมพร้อมกัน 2 ด้านคือ 1) การจัดรูปขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในยุทธศาสตร์และยุทธวิธี  2) หลังจากขบวนการประชาธิปไตยได้รับชัยชนะแล้ว สร้างรัฐที่อำนวยให้เกิดบูรณาการของประชาธิปไตยได้ยั่งยืน

          ในทางยุทธศาสตร์ แนวทางแดงเสรีชน ถือว่าเดินทางถูกต้องและมีความก้าวหน้าในการยกระดับกระบวนทัศน์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สมควรได้รับการยกย่อง และศึกษา ในขณะที่การใช้กำลังเพื่อปฏิบัติการทางทหารก็เป็นยุทธวิธีและยุทธการที่พวกเขาได้เลือกแล้วว่าจะมีความเหมาะสมกับกลุ่มจัดตั้งของตนเอง

          ความผิดพลาดในปฏิบัติการที่ศาลอาญา จนกระทั่งถูกจับกุม และอาจจะถูกอำนาจรัฐกวาดล้างอย่างขยายผล เป็นเส้นทางปกติของการต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการที่จะต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้อย่างลองผิดลองถูก

          ความล้มเหลวในปฏิบัติการ (อาจเกิดจากความอ่อนด้อยทางด้านประสบการณ์ หรือความผิดพลาดอื่น) ไม่ใช่ความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ และไม่ใช่สิ่งที่ควรก่นประณาม โดยคนกลุ่มที่อ้างเสมอว่า อยู่ในขบวนแถวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

          การแยกแยะจิตใจต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในแนวทางที่เห็นว่าเหมาะสมของกลุ่มจัดตั้งในแนวร่วมต่อสู้ กับความสำเร็จหรือล้มเหลวในปฏิบัติการต่อสู้ เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เพราะไม่เช่นนั้น ความล้มเหลวของ นปช. ในการชุมนุมเพื่อยับยั้งการรัฐประหาร นำมวลชนด้วยลัทธิชุมนุมแล้วพาคนไปล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยไม่ผลิดอกออกผลอะไรเลย ก็สมควรถูกประณามว่า”โง่บัดซบ”เช่นเดียวกัน

          หากนายจตุพร มีจิตสำนึกและมีความเป็นผู้นำมากเพียงพอ จะต้องตระหนักดีว่า ในหลายปีมานี้ กลุ่มคนที่ร่วมขบวนแถวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่มีแนวทางอื่นๆ ไม่เคยตั้งข้อกล่าวหาการนำของแกนนำ นปช.แม้แต่น้อยว่า “โง่บัดซบ” เพื่อเห็นแก่ขบวนการต่อสู้ การกระทำของนายจตุพรที่ตั้งข้อกล่าวหากลุ่มอื่นซึ่งไม่เดินจามรอยลัทธิชุมนุมของ นปช. จึงเข้าข่าย”โงบัดซบ”ได้เช่นกัน 
          แดงเสรีชน อาจจะถูกกวาดล้าง หรือ จับกุมคุมขัง หรือ เสียชีวิต  หรือไม่ประสบความสำเร็จในเป้าหมาย แต่พวกเขา ซึ่งไม่เคยกล่าวประณามกลุ่มจัดตั้งอื่นในขบวนแถวต่อสู้ที่มีแนวทางต่างกัน ถือได้ว่า เป็นกลุ่มบุคคลที่มีจิตใจเยี่ยงวีรชน ซึ่งพลีตนเพื่อขบวนการประชาธิปไตย สมควรที่กลุ่มจัดตั้งในขบวนแถวต่อสู้อื่นๆ จะทำการยกย่องอย่างแท้จริง

          ท้ายที่สุด แนวทางสร้างสหพันธรัฐ ของพวกเขา จะได้รับการขานรับจากมวลชนอื่นๆ(รวมทั้งผู้เขียน)ที่ไม่ได้อยู่ในขบวนจัดตั้งเดียวกัน สานต่อเจตนารมณ์ "เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ"อย่างเอาจริงเอาจัง


          ในขณะกลุ่มคนซึ่งแอบอ้างตนเป็นผู้ผูกขาดการนำ โดยยึดติดกับลัทธิชุมนุมอย่างเดียวที่ฉวยโอกาส  นับวันที่จะโดดเดี่ยวตนเอง และถูกมวลชนที่ตาสว่างทอดทิ้ง

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

ข่าวลับกรองแล้ว 16มีนาคม2558 "ไขข่าวคุณลุงที่อินุงตุงนังออกข่าวจะกลับวังแต่ดันไม่ได้กลับเพราะอะไร?"

  

สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.)  http://thaiscandemo.blogspot.com/

๐๐ข่าวพระราชสำนัก๐๐

*สลิ่มที่ขอเป็นฝุ่นใต้ตีนทุกชาติไปต่างปลาบปลื้มจนน้ำตาไหลเมื่ออยู่ๆก็เห็นภาพข่าวคุณลุงไปเลี้ยงหญ้าวัวที่วังสวนจิตรลดา...โอ้มายก๊อด...เป็นจริงอย่างที่ท่านบอกแล้วว่าท่านจะอยู่ถึงอายุ120ปี ...ต่อมา13มีนาช่วงบ่ายข่าวสะพัดเป็นพายุทอนาโดอีกว่าคุณลุงกับคุณป้าหายป่วยแล้วพร้อมจะเสด็จกลับไปอยู่วังสวนจิตที่ทิ้งร้างมานานเป็นการถาวรเพราะแข็งแรงยิ่งกว่าซุปเปอร์แมน...แต่ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำพอ6โมงเย็นของวันเดียวกันสำนักพระราชวังก็ประกาศแจ้งงดเสด็จกลับบ้านสวนจิตรอย่างกระทันหันซะแล้ว...เกิดอะไรขึ้นตามมาตามมาจะไขข่าวให้กระจ่าง

*เรื่องเสด็จกลับวังสวนจิตรเป็นการถาวรทำกันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนจริงยิ่งกว่าจริงถึงขนาดสำนักพระราชวังแจ้งเป็นทางการให้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยแจ้งข่าวเพื่อให้ประชาชนออกมารับเสด็จจนพลโทสบโชค ศรีสาคร เลขานุการบริหารทรท.(อย่าไปเข้าใจว่าเป็นตัวย่อพรรคไทยรักไทยนะเดียวโดน112)ทำหนังสือด่วนถึงสถานีโทรทัศน์ทุกช่องให้เตรียมการถ่ายทอดโดยใช้ไทยพีบีเอสเป็นแม่ข่าย...และถือเป็นระเบียบปฏิบัติเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ภาพปู่ออกมานั่งอ้าปากหวอ(เท่าที่จะทำได้ไม่ให้ภาพน่าเกลียดจนสลิ่มหมดกำลังใจ)พลโทสบโชคก็ระบุไว้ในหนังสือลับด่วนมากลงวันที่13มีนาคม2558ที่ทรท.143/2558ในข้อ3.2ว่า"ให้ทุกสถานีบันทึกภาพแล้วต้องส่งให้กับสถานีไทยพีบีเอส(แม่ข่าย)เพื่อดำเนินการตัดต่อร้อยเรียงก่อนและส่งสัญญานภาพและเสียงทันทีเมื่อตัดต่อเสร็จให้กับสถานีสมาชิก"...ก็ทำกันแข็งขันถึงขั้นนี้แล้วทำไมHeและSheถึงงดไปเฉยๆ??...แปลกแปลก!!

*ไม่ต้องแปลกใจเรื่องเพี้ยนๆอย่างนี้มีให้เห็นบ่อยๆในทุยแลนด์แดนตอแหลที่ไม่แคร์ค่าใช้จ่ายเงินภาษีประชาชนคงจำกันได้ทุกปีของวันที่5ธันวาในระยะหลังๆที่ป่วยหนักมักจะไม่ออกมหาสมาคมหรือพิธีสวนสนามแต่ทุกหน่วยงานต้องใช้จ่ายเงินจัดเตรียมให้พร้อมๆจะหมดเงินเท่าไรก็"ชั่งหัวมัน"ส่วนจะออกได้ไม่ได้ไม่เกี่ยวเรื่องของฉัน(เป็นอย่างนี้กันทั้งตระกูลขอให้รู้ไว้ไม่เลือกอ้วนเลือกผอมหรือชายหญิง)...วันเฉลิมล่าสุดเมื่อปี2557สำนักพระราชวังออกหมายกำหนดการลงวันที่2ธันวาเป็นจริงเป็นจังว่าคุณปู่ออกงานมหาสมาคมแน่ๆจนเกิดการพนันขันต่อกันไม่แพ้การแข่งขันฟุตบอลล์พรีเมียลีคว่า"ออกได้หรือออกไม่ได้"...สลิ่มที่เชื่อมั่นว่าท่านแข็งแรงก็ต่อสองหนึ่งจนไม่มีคนกล้ารองเพราะเห็นลงทุนจัดงานไปมากมายและหลอกกันว่าอีกนานตายแต่สุดท้ายตี2ก่อนเช้ามืดวันที่5ธันวาก็มีแถลงการณ์ออกมาเฉยสนิทว่า"งด"...จำไว้จำไว้หากอยากรู้ความจริงแท้อย่าคิดแค่ข่าวการลงทุนจัดงาน

*เรื่องจริงคุณลุงคงอยู่ไม่ยาวตามข่าวที่รู้ๆกัน...คอนเฟิร์มๆๆๆ...ส่วนคุณป้าก็บ้าไปแล้ว...คอนเฟิร์มอีกเหมือนกัน...ล่าสุดข่าววงในยืนยันว่าคุณลุงวันๆหลับมากกว่าตื่นแต่ช่วงนี้มีอาการบ่นว่าเบื่อปนกับปวดร้องโอดโอยๆทุกครั้งที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นแต่เมื่อหมอถามว่าปวดตรงตรงใหนก็บอกไม่ได้แต่ก็รำพันครึ่งหลับครึ่งตื่นว่า"ปวดไปหมด"...แต่อาการตื่นกับอาการหลับช่วงนี้แปลกๆบางวันหลับทั้งวันแต่บางวันกลับตื่นไม่ยอมหลับและเมื่อตื่นก็จะพูดว่า"เบื่อๆ...อยากกลับวังสวนจิตร"...และนี่คือสาเหตุที่เกิดหมายกำหนดการกลับสวนจิตรที่ทุกคนต้องถือปฏิบัติ...แต่สุดท้ายหมอที่แบ่งความเห็นเป็นสองฝ่าย"ให้กลับเพื่อฟื้นฟูจิตใจ..กับไม่ให้กลับเพราะอันตรายเนื่องจากเสี้ยววินาทีก็มีความหมายหากไกลเครื่องมือ"ก็มีมติร่วมกลัวและไม่กล้าให้กลับแต่ไม่กล้าพูดความจริงเลยนิ่งกันไปกับข่าวงดการเดินทางหายไปกับสายลมโดยไม่บอกสาเหตุ...อาการอย่างนี้ชาวบ้านเรียกว่า"เทียนเปล่งแสงวูปใกล้จะดับจึงคิดอยากจะกลับบ้าน"

*เรื่องของคุณป้าสปท.ขอยืนยันว่าอยู่คนละฝากตึกกับคุณลุงแต่ละวันก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร?หมอพญาบาลก็จะประคองพาไปหาคุณลุงแต่ก็จะมีอาการผวากลัวคนจะมาฆ่า...การมีชีวิตอยู่ของคุณป้าก็ชดใช้กรรมไปวันๆ

*การปรากฎตัวของคุณลุงแต่ละครั้งขอให้ทุกท่านเข้าใจตรงกันว่าท่านกำลังแสดงการโชว์ลมหายใจว่ายังมีอยู่และเพื่อจะบอกให้รู้ทั่วกันว่าเมื่อข้ายังไม่ตายรัชกาลใหม่ก็เกิดไม่ได้,บ้านเมืองระส่ำระสายวุ่นวายอย่างไรก็"ช่างหัวมัน"และเมื่อนานไปบ้านเมืองฉิบหายระบอบกษัตริย์ก็จะพังทะลายไปพร้อมกัน

*ประเด็นสำคัญวันนี้ความสามัคคีในวังยังเป็นปัญหาและยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นเพราะทุกครั้งคราที่คุณลุง(ยกเว้นคุณป้า)ออกมาไม่มีลูกหลานมารับหน้าแม้แต่คนเดียวทั้งๆที่ไปเที่ยวเมืองนอกไกลๆได้บ่อยๆกันทุกคน...สปท.ยังยืนยันให้จับตาว่าจะมีภาพทอมขาถ่างถ่ายรูปคู่กับพ่อได้ใหมก่อนจะถึงวันเกิด2เมษา?ถ้าไม่มีก็แสดงว่า...แล้วจะไขให้ฟังต่อไป

๐๐ข่าวขี้ข้านอกราชสำนัก๐๐

*ป่าวประกาศเพื่อให้ประชาชนรู้จัก"หอกระจายข่าวเท็จกรุงเทพธุรกิจ"ลงวันที่13มีนาคม2558ตีพิมพ์คำโกหกเสียงไม่สั่นของนพ.อุดม คชินทร อธิการมหาวิทยาลัยมหิดล(ดารานกหวีดทองคำที่นำนักศึกษาข้าราชการออกมาล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขณะเป็นคณบดีศิริราช)ที่แถลงว่า"สุขภาพในหลวงแข็งแรงดีไม่มีไข้ทานอาหารได้และพร้อมจะเสด็จกลับวังสวนจิตรได้...เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีขณะนี้ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ ตลอดระยะเวลาที่ในหลวงประชวรพระราชินีได้ตามเสด็จเฝ้าอย่างใกล้ชิดเพื่อถวายกำลังใจ"...แต่เรื่องจริงผ่านจอต่อมาไม่ทันข้ามวันตัวมันท่านผู้นี้ก็ร่วมกันกลับคำใหม่ไม่อนุญาตให้คุณลุงคุณป้ากลับวังสวนจิตร...ตกลงนายอุดมคนนี้เป็นหมอคนหรือ"หมอดู"กันแน่...เมืองไทยจะไม่บ้ากันได้อย่างไรก็ในเมื่อคนระดับศาสตราจารย์และเป็นอธิการบดียังกล้าโกหกประชาชนกลางวันแสกๆ...ถ้าคุณลุงคุณป้าแข็งแรงดีก็ช่วยจัดให้มีภาพถ่ายทอดสดคู่กันสักทีไม่ดีหรือหลบๆซ่อนๆอยู่อย่างนี้ทำไม??

*ข่าววงในขี้ข้าอย่างประยุทธ์ใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะร.9ไม่ไปร.10ก็มาไม่ได้ยิ่งนานไประบบก็ยิ่งอ่อนแรงและหากเกิดร.10ขึ้นจริงไม่ว่าหญิงหรือชายยุทธ์เหล่ก็รู้ว่าบารมีไม่มีพอจะคุ้มหัวตัวเองได้จึงมอบหมายให้แม่น้ำ5สายสร้างระบบคุุ้มครองตัวเอง...สปท.บอกมาณ.ที่นี้ว่าอย่าได้หวังกับประชาธิปไตยในยุคนี้

*ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันแล้วสมาชิกสภาทั้งหลายที่คสช.ตั้งทุกสายงานล้วนแล้วแต่พวกนกหวีดทั้งนั้นและยิ่งทำงามหน้าตะกละตะกามเอาลูกเมียมากินเงินเดือนคนเดียวล่อสามสี่ตำแหน่งยิ่งกลายเป็นนกหวีดเน่า...ตัวอย่างพลเรือเอกธราธร ขจิตสุวรรณ สนช.ดันเอาเมียชื่อพลเรือตรีหญิงพวงพลอย ขจิตสุวรรณมากินเงินเดือนทั้งผู้ช่วยทั้งผู้ชำนาญการสามสี่ตำแหน่งจนเหม็นเน่า...สายข่าวทหารเรือรายงานว่านางนี้คือสาวชั่วในกองทัพเรือเป็นสาวกนกหวีดของแท้...คสช.มันจึงชั่วไม่มีที่ติตามคำขวัญสามัคคีปรองดองเน่าๆ


๐๐ข่าวศาสนพิธีณ.วัดวิชัยยุทธ๐๐

*เกิดข่าวว่อนเนตว่าเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ไปเวียนเทียนที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธจนผู้คนสะดุดข่าวแปลกว่าโรงพยาบาลได้แปรสภาพเป็นวัดไปตั้งแต่เมื่อไร?และจะสร้างเมรุประจำวัดหรือไม่?

*สปท.ขอรายงานข่าวจากการสืบค้นได้ความว่า(1)คุณเธอใช้โรงพยาบาลนี้เป็นที่พักกายสบายอารมมานานแล้วจริงถ้าไม่ไปเมืองนอก...ไม่รู้ไปติดใจหมอคนใหนอีก(2)มีพิธีกรรมประหลาดจริง...เมื่อตอนสองทุ่มของวันที่11มีนาคุณเธอ(ที่ชอบหลอกตัวเองว่าได้บำเพ็ญบุญถึงขั้นหลุดพ้น)มีจิตเมตตาต้องการไถ่บาปให้แก่หมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธที่มีบาปมากเนื่องจากได้กระทำการทำร้ายต่อตัวเธอด้วยการใช้เข็มฉีดยากับเธอก็ดี,กระทำการถูกเนื้อต้องตัวเธอด้วยวิธีการต่างๆซึ่งเธอได้บำเพ็ญบุญถึงขั้นสูงเสมอเทพแล้วจึงถือเป็นบาป(หากไม่อโหสิกรรมบุคคลเหล่านี้จะได้รับอันตรายถึงชีวิตเหมือนหมอเก้งอดีตผัว)ซึ่งจะส่งผลกรรมถึงตัวเธอดังนั้นเพื่อความสบายใจและเพื่อไม่ให้เป็นบาปติดตัวเธอจึงจัดพิธีกรรมให้หมอและนางพยาบาลโรงพยาบาลวิชัยยุทธทำการขอขมาและองค์เทพเธอก็ทรงให้อภัยไม่เป็นบาปต่อกันแล้ว...เล่นเอาหมอและพยาบาลงงๆๆแต่ก็ต้องปฏิบัติเพื่อทดแทนบุญคุณแผ่นดิน...ขอให้เข้าใจตรงกันเรื่องในวังที่งี่เง่าเกินกว่าที่คนนอกวังเข้าใจได้ยังมีอีกมาก


๐๐ข่าวขบวนประชาชน๐๐

*กลุ่มพลเมืองโต้กลับกำลังมาแรงเดินทิศทางถูกต้องด้วยข้อเรียกร้องง่ายๆแต่กินใจ"พลเรือนต้องไม่ขึ้นศาลทหาร"...สปท.ขอให้กำลังใจ

*เจ็บปวดจริงพ่อน้องเฌอลูกสาวก็ถูกทหารฆ่า,เมื่อจะเรียกร้องความเป็นธรรมเดินคนเดียวก็ยังถูกทหารจับข้อหาชุมนุมเกิน5คน...พอเจ้าพุทธไถอิสระชุมนุมการเมืองเป็นร้อยประท้วงสังฆราชคสช.เสือกนิ่งไม่ว่าอะไร...ใช้กฎหมายสองมาตรฐานอย่างนี้จะปรองดองกับมันทำไม?

*เรื่องระเบิดหน้าศาลอาญาใครจะทำก็ช่างมันแต่ทุกเสียงบึ๊มของมันสั่นสะเทือนระบอบเผ็จการประยุทธ์ดีแท้ๆ...ขอให้แดงทั้งหลายที่อยากเปลี่ยนระบอบเข้าใจตรงกันว่าระบอบใหม่จะเกิดได้ระบอบเก่าต้องพังทะลายก่อนเป็นภาวะวิวัฒนาการธรรมชาติและในภาวะ"ร.9ใกล้จะตาย,ไทยก็ได้นายกเผด็จการที่โง่สุดๆ,เสียงระเบิดก็ไม่หยุด,สุดที่จะมันพะยะคะ555"...สถานการณ์กำลังดียิ่ง

*ขอน้อมคารวะจิตใจพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยในญี่ปุ่นที่ไม่ย่อท้อยกกำลังไปประท้วงประจานประยุทธ์เป็นรอบสองที่ยังหน้าด้านไปญี่ปุ่นอีกด้วยขึ้นป้าย"ไม่เอานายกฯเผด็จการ"...แล้วพบกันใหม่เมื่อได้ข่าวเจาะจากวังสปท.จะไม่นั่งเฉยๆแน่//

-----------จบ------------

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

สื่อดังต่างประเทศตั้งคำถามว่า"ทำไมประเทศไทยในอดีตแสดงบทบาทนำทางประชาธิปไตยในภูมิภาคแล้วอยู่ๆก็เกิดถดถอยต่ำลงยิ่งกว่าพม่า...ปัญหาสถาบันกษัตริย์ใช่หรือไม่???"

บทความ 'เดอะดิพโพลแมต' เผยไทยล้าหลังอย่างมากเพราะรัฐประหารโดยทหารพระราชา:ข่าวจากประชาไทย




8 มี.ค. 2558 แซม ไมเคิล นักเขียนอิสระเขียนบทความเรื่องความถดถอยครั้งใหญ่ของประเทศไทยนับตั้งแต่มี การรัฐประหารเมื่อเดือน พ.ค. 2557 ทำให้ประชาคมโลกต่างพากันตั้งคำถามว่าเหตุใดประเทศที่เป็นผู้นำประชาธิปไตยในภูมิภาค ที่ชาติตะวันตกตั้งความหวังไว้ว่าจะทำให้พม่าออกจากการเป็นเผด็จการได้ ถึงถดถอยล้าหลังได้ขนาดนี้ จนถึงขั้นว่าประเทศพม่าอาจจะแซงหน้าได้ ไมเคิล ระบุถึงการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหลังการรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่คุกคาม การเรียก "ปรับทัศนคติ" แม้กระทั่งการจับกุมตัวผู้ที่ต่อต้านอีกทั้งยังมีการควบคุมสื่อมากขึ้น และใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเล่นงานประชาชนมากขึ้น ไมเคิลยังวิจารณ์อีกว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และกระบวนการปฎิรูป แสดงให้เห็นถึงการถอยหลังกลับไปเป็นระบอบอำนาจนิยมที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และมีการรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่พวกชนชั้นนำเก่าแก่ ได้แก่ กองทัพ ข้าราชการระดับอำมาตย์ และสถาบันกษัตริย์

 

บทความของไมเคิล ยังระบุถึงข้ออ้างของกลุ่มชนชั้นนำเก่าหรือชาวไทยที่ยำเกรงต่อสถาบันนำมาใช้ อธิบายถึงความล้าหลังของตัวเอง 3 รูปแบบ คำอธิบายแรกพวกเขาจะอ้างว่าการเลือกตั้งและการชุมนุมของฝ่ายสนับสนุน ประชาธิปไตยจะ "ทำให้เกิดความโกลาหล" คำอธิบายที่สองคือการอ้างว่าอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวมีการทุจริตสูงมากราวกับว่าเมื่อก่อนนี้การเมืองไทยสะอาด บริสุทธิ์ อีกทั้งยังอ้างข้อหา "ล้มเจ้า" คำอธิบายที่สามคือ "ประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะ และระบอบกษัตริย์เท่านั้นที่ดีที่สุดและมีคุณธรรมที่สุด" พวกเขาอ้างว่าต้องการมีประชาธิปไตยในแบบของตนเอง

ไมเคิลระบุว่า คำอธิบายเหล่านี้ถูกปลุกปั่นโดยกลุ่มอำมาตย์ของไทยและกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ มีทั้งกลุ่มคนรวยและคนที่ถูกล้างสมองจากชนชั้นอื่น แต่ก็ไม่มีตัวเลขระบุชัดเจนว่ามีประชาชนไทยที่สนับสนุนระบอบล้าหลังราวยุค กลางแบบนี้อยู่จริงมากน้อยแค่ไหนเพราะชนชั้นนำไม่อนุญาตให้มีการทำประชามติ ในเรื่องนี้ ทำให้คนไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถูกปลูกฝังให้เชื่อตั้งแต่เด็กว่าพวกเขา มีกลุ่มราชวงศ์ที่ดีที่สุดในโลก มีการกีดกันคนที่ไม่เห็นด้วย ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ต่างพยายามใช้เหตุผลและแนวคิดเสรีทางการเมืองเพื่อถกเถียงกับผู้นำไทยแต่ดู เหมือนจะไม่เป็นผล ผู้นำไทยไม่ยอมละทิ้งแนวคิดที่ล้าหลังและคับแคบในประเด็นที่ว่า ระบอบกษัตริย์ควรมีบทบาทอย่างไรในยุคสมัยใหม่ พวกอนุรักษ์หัวเก่าพยายามรักษาแนวทางปฏิบัติเดิมๆ ไว้ พยายามกำจัดกลุ่มของทักษิณและใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเครื่องมือ เพื่อกำจัดคนที่เห็นต่างและต้องการให้ประเทศก้าวหน้า

บทความระบุอีกว่า สำหรับผู้ที่มีความรู้สายมนุษย์ศาสตร์และปรัชญาตะวันตก ข้ออ้างของกองทัพและกลุ่มชนชั้นนำเก่าเป็นแค่ข้ออ้างลอยๆ เพื่อยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของพวกเขาเอาไว้
ไมเคิลระบุว่าข้ออ้างของกลุ่มชนชั้นนำมีช่องโหว่ดังต่อไปนี้ หนึ่งคือ ข้ออ้างเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองตัวผู้ก่อความวุ่นวายเองไม่ได้มีแค่ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ แต่เป็นฝ่ายชนชั้นนำเองที่เป็นตัวการสำคัญในการสร้างความวุ่นวายและเป็น "โรคร้าย" ของวัฒนธรรมการเมืองในไทย ชนชั้นนำสร้างความเข้าใจผิดๆ ให้กับพวกที่ชุมนุม "เป่านกหวีด" ที่ส่วนใหญ่เป็นคนในเมืองจนกระทั่งนำมาซึ่งการรัฐประหาร

ช่องโหว่ประการที่สองในข้ออ้างของกลุ่ม ชั้นนำมาจากกลุ่มกองทัพที่อ้างว่าพวกเขา "คืนความสุข" ให้กับคนไทยก็ฟังดูไม่น่าเชื่อถือ เพราะนิยาม "ความสุข" ของเผด็จการทหารไทยเป็นเรื่องในเชิงอุปถัมภ์ทางเดียว ไม่มีการเปิดทำประชามติเลยว่าประชาชนต้องการอะไรจริงๆ ในขณะที่พวกเขาอ้างเรื่องการกำจัดคอร์รัปชั่นแต่ก็ยังคงเครือข่ายระบบ อุปถัมภ์โดยมีลำดับขั้นทางสังคมอยู่ ให้ระบอบกษัตริย์อยู่สูงสุด ซึ่งระบบอุปถัมภ์มักจะขัดต่อกฎหมายและถือเป็นเรื่องเลวร้ายไม่แพ้ คอร์รัปชั่น

ช่องโหว่ประการที่สามของคำอธิบายจากฝ่าย สนับสนุนเผด็จการที่อ้างว่าประชาธิปไตยเข้ากันได้กับระบอบการเมืองและ วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยจนกระทั่งทักษิณขึ้นมามีอำนาจก็เป็นข้ออ้างที่ไม่มีข้อพิสูจน์ เพราะประชาธิปไตยไทยยังอายุไม่มากและวัฒนธรรมไทยเป็นตัวที่คอยทำให้ ประชาธิปไตยไทยอ่อนแอเสมอมา ระบบการเมืองของไทยก่อนหน้านี้ถูกครอบงำโดยอำมาตย์ คนมีสิทธิเลือกตั้งก็ยังมีความรู้ทางการเมืองและความรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพ พลเมืองอยู่น้อยทำให้ระบอบประชาธิปไตยถูกฉุดรั้งโดยการเล่นพรรคเล่นพวกและ ระบอบอุปถัมภ์
ไมเคิลมองว่าปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ชนชั้นนำเก่าไม่ยอมแบ่งอำนาจหรือปรับตัวให้เข้ากับชนชั้นนำใหม่คือกลุ่มของทักษิณ อีกทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ยังคงยึดติดอยู่กับอำนาจและอภิสิทธิ์ที่ตนเคยมี อยู่ซึ่งอำนาจและอภิสิทธิ์เหล่านี้ค่อยๆ ลดลงหลังจากที่มีคนตื่นรู้เรื่องประชาธิปไตย คิดถึงสิทธิของตัวเองและเรียกร้องความเท่าเทียมกันมากขึ้น

ไมเคิลยังเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบอบกษัตริย์ของไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นนำในไทย ทางฝ่ายประชาชนต้องเปิดให้มีการวิเคราะห์และอภิปรายในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่น่าเศร้าที่ประชาชนไทยหลายคนยังคงปิดหูปิดตาไม่ยอมรับฟังความเห็นต่าง เรียกร้องให้ประเทศอื่นเข้าใจประเทศตนแต่ไม่เคยคำนึงเลยว่าประเทศอื่นๆ มองประเทศไทยเป็นอย่างไร ทำให้คนไทยหลายคนขังตัวเองอยู่แต่กับความหวาดกลัวและขาดจินตนาการทางการเมือง

ไมเคิลวิเคราะห์ว่าหลังจากมีการเลือกตั้ง ครั้งหน้าแล้วไทยจะยังคงไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นประเทศเสรีมากขึ้นแต่ อย่างใด เพราะยังคงมีการจ้องถอดถอนและดำเนินคดีกับอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นสัญญาณที่เลวร้ายทำให้ประเทศไม่เกิดการปรองดองเพราะมีกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว

ไมเคิลยังได้วิจารณ์ผ่านบทความว่ากลุ่มชน ชั้นนำ นักวิชาการกระแสหลัก และกลุ่มชนชั้นกลางยังคงขาดความกล้าหาญทำให้เซนเซอร์ตัวเองและไม่ยอมแสดงความคิดเห็น ทำให้ไมเคิลมองว่าต้องมีการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้นประเทศ ถึงจะก้าวสู่ความเป็นสมัยใหม่ได้ ไมเคิลเป็นห่วงอีกว่าการพยายามกล่าวหาว่าผู้เรียกร้องประชาธิปไตยเป็นพวกล้ม เจ้านั้นทำให้เกิดความเสี่ยงในตัวเองในแง่ที่จะมีการเชื่อมโยงระบอบกษัตริย์ กับระบอบเผด็จการอำนาจนิยมเองได้

ผู้เชียนบทความระบุอีกว่าความหวังในอนาคต ของประเทศไทยน่าจะขึ้นอยู่กับกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นต่อไป การที่พวกเขาได้รับการศึกษาเรื่องเสรีภาพและคุณค่าด้านดีของประชาธิปไตย จะเป็นหนทางเดียวที่ช่วยให้ประเทศไทยไม่ล้าหลังจนกลายเป็นประเทศคร่ำครึได้ แม้ว่าบางส่วนจะผูก "ความเป็นไทย"ไว้กับ"ความเป็นสมัยใหม่" และ "การเป็นประชาธิปไตย" ซึ่งฟังดูย้อนแย้งก็ตาม

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ข่าวลับกรองแล้ว 5มีนาคม2558 : "จับตาก่อน2เมษาว่าจะแก้ปัญหาข่าวการไม่ปรากฎตัวของกษัตริย์ภูมิพลอย่างไร?"


สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.)  http://thaiscandemo.blogspot.com/


๐๐ข่าวสำนักพระราชวัง๐๐

*ตอนภูมิพลยังแข็งแรงแถลงการณ์ก็ออกถี่แต่ยิ่งสุขภาพไม่ดีกลับไม่มีอะไรจะแถลง...แถลงการณ์สำนักพระราชวัง(ไม่ปลอม)ฉบับสุดท้ายคือฉบับที่12ลงวันที่15ธันวาปีที่แล้วจนถึงวันนี้2เดือนกับอีก18วันยังไม่มีแถลงการณ์จริงออกมา...เพราะอะไร??ตามมาตามมา

*แถลงการณ์ฉบับที่11ออกอย่างฉุกเฉินตอนตี2ของวันที่5ธันวาคม,ฉบับที่10ออกเมื่อ21พย.โดยเฉลี่ยยี่สิบกว่าวันออกหนึ่งฉบับ...แต่วันนี้นานกว่าสองเดือนก็ยังออกไม่ได้เพราะไม่รู้จะเขียนโกหกประชาชนอย่างไรแล้ว?...ถ้าออกมาสะเปะสะปะอาจารย์สุรชัยก็จ้องฉะเปิดโปงความจริงเพราะสายข่าวแดงก็แยงถึงก้นครัวศิริราชเหมือนกัน

*ข่าวลับรายงานมาล่าสุดคุณปู่นอนหลับทั้งวันตื่นได้ทีไม่กี่นาทีก็หลับต่อคุณหมอก็รับคำสั่งจากน้องทอมหาทางนัดพร้อมโชว์ภาพแข็งแรงสัก2-3นาทีก็ยังไม่มีช่องว่าง...ความพยายามยังมีต่อไป

*ข่าวลับแต่ต้องจับมากรองก่อนตามหลักการตรวจข่าว...ชั่งน้ำหนักตามหลักต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงเพราะ(1)แถลงการณ์ห่างเกินไปจนผิดวิสัย...(2)ภาพคุณปู่ทู่ซี้ขี่รถเข็นอ้าปากหวอมีหมอเข็นรถหดหายไปนานทั้งๆที่เมื่อก่อนพยายามโชว์ตัวตลอด...(3)ถ้ายังแข็งแรงพอลุกนั่งได้หมอคงไม่รอเวลาต้องพาออกมาโชว์อย่างแน่นอนเพราะตอนนี้ใกล้วันถ่ายพลังให้ลูกสาวเส้นตายการโชว์ตัวคู่กับลูกสาวอยู่ยาวไม่เกิน2เมษานี้ที่เป็นวันเกิด

*ข่าวลับอีกสายรายงานว่าทั้งหมอทั้งพยาบาลในศิริราชต่างพูดตรงกันว่าไม่มีใครอ้าปากเรื่องสุขภาพปู่วันนี้เลย...ไม่เหมือนอดีตที่มักจีบปากจีบคอเพราะยังพอโกหกไหวว่า"สุขภาพพระองค์ทรงปกติดี"...จำเป็นต้องเอาสายข่าวนี้มาตรวจด้วยก็จะช่วยให้ข่าวลับแรกมีน้ำหนักที่จะจับมากรองเพื่อจะฟ้องโลกได้แล้วว่าวันนี้ประเทศไทยออกกฎหมายโดยไม่มีประมุขเซนต์ชื่อแล้ว

*รออีกนิดอาจารย์สุรชัยกำลังเตรียมอัดคลิปป่าวประกาศครั้งใหญ่แต่ขอให้ถึงวันที่2เมษายนนี้ก่อนเพราะเป็นวันเกิดพระเทพที่กษัตริย์ภูมิพลเคยให้จัดมุมถ่ายรูปแสดงความใกล้ชิดลูกสาวคนนี้เพื่อชี้เป็นนัยๆให้ประชาชนหนุนเนื่องเรื่องรัชกาลที่10ที่ทั้งเทพถ่างและบ่างเปรมวางแผนมานานแล้ว...ดังนั้นหากปีนี้ไม่มีภาพปรากฎก็ถือว่าจบเห่

*ข่าววุ่นๆในวังเกิดดังขึ้นมาอีกทางทีวีช่อง3เมื่อคนอ่านข่าวของโสมสวลีแต่ดันไปใช้เป็นชื่อ"พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์พระวรฉายาธินัดดามาตุ"...สรุปแล้วคนอ่านอ่านผิดแต่ประชาชนฟังแล้วก็ไม่รู้เพราะไม่ทันคิดภาษาของวังทั้งยาวทั้งยุ่งแถมยังอินุงตุงนังอีก...ห่วยซวยแต่เช้า


๐๐ข่าวสำนักพระราช"วัด"๐๐

*การตั้งไพลูย์ นิติตะวันเป็นประธานกรรมการปฏิรูปศาสนาทั้งๆที่เป็นคนไม่มีศาสนาก็เพราะว่า"ป๋า"หาตัวบ้ามาจัดการเสื้อแดงในสายพระไม่ได้

*มีคนแอบได้ยินป๋าเปรมรำพึงรำพันในที่ประชุมองคมนตรีว่าอยากให้ปฏิรูปวงการสงฆ์เหลือนิกายเดียวคือ"ธรรมยุทธนิกาย"แต่ปัญหาของป๋าคือมหานิกายไม่เพียงเป็นกลุ่มใหญ่กว่าธรรมยุทธนิกายของสายเจ้าแต่ยังมีองค์กรสงฆ์ที่เข้มแข็งกว่าธรรมยุทธในนาม"ธรรมกาย"เป็นแกนหลักจึงหนักใจว่าถ้าไม่ทำลายวันนี้เห็นทีธรรมยุทธที่เจ้าเป็นคนตั้งที่หวังจะครอบงำอนาจักรสงฆ์ก็เห็นจะต้องปลงสังขาร,และยังจะกลายเป็นว่าธรรมกายจะกลายเป็นนิกายหลักของรัฐไทยไปเสียอีก

*ก่อนที่นายสุวิทย์หรือพุทธอิสระจะออกมาเล่นงานรักษาการสมเด็จพระสังฆราช(ช่วง)วัดปากน้ำก็มีสัญญานจากคนสนิทพระเทพ"หม่อมเจ้าจุลเจิม"หรือ"หม่อมลามกใหม่"(สายข่าวอเมริกาตรวจประวัติจากคนไทยในLAเรียกชื่อตรงกัน)ออกมาโบกธงเล่นงานพระวัดธรรมกายเดินธุดงค์

*นายพุทธอิสระก็คือหนึ่งในกองกำลังของม็อบอันธพาลกปปส.และสหายคนสนิทสนธิลิ้มที่เริ่มก่อจราจลมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารล้มทักษิณปี2549และต่อเนื่องกันมาจนถึงก่อจราจลปิดกรุงเทพ2557และก็จบลงด้วยรัฐประหารแบบเดียวกันตามสูตรเทพถ่างบ่างเปรม

*เอากันให้ชัดๆไม่ต้องสงสัยว่านายพุทธอิสระคือพระสายใหน...ตอบได้ทันที"สายราชินีปากแดง"...ดูข่าวย้อนหลังไปเมื่อต้นปี2555ที่ราชินียังไม่เดี้ยงมีภาพ4ผบ.ทบ.คนสนิทคือพลเอกประวิทย์ วงษ์สุวรรณ,พลเอกสมทัต อัตตะนันทน์,พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดาและพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดเวลาว่างพร้อมกันและเชื่อถือนายพุทธอิสระเหมือนกันและยอมร่วมกันแสดงในพิธีเพี้ยนของนายพุทธอิสระให้เอาทองแปะหน้าถ้าไม่ได้รับคำสั่งป้าจะบ้าไปแสดงร่วมกันอย่างนั้นหรือ?...พิธีดังกล่าวคือเตรียมการล้มรัฐบาลปูเพราะก่อนหน้าจัดม็อบแช่แข็งเสธ.อ้ายเมื่อปลายปี2554แต่ล้มปูไม่สำเร็จแล้วนับแต่นั้นก็ร่วมกันวางแผนก่อจราจลตั้งแต่หน้ากากขาวหน้ากากลิงจนปิดกรุงเทพแล้วก็ร่วมทำรัฐประหารตามพิธีกรรมบ้าๆบอๆ

*ยิ่งกว่าการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือล้างบางรัฐบาลพระที่คาลาคาซังมานานนับสิบปีเหมือนการล้างบางสายทักษิณคือสายปกครองพระที่เถรสมาคมจัดอำนาจกันไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์

*หลักฐานยืนยันว่าวังไม่ยอมให้พระสายมหานิกายขึ้นเป็นพระสังฆราชวันนี้ชัดขึ้นทุกที...ตามมาดู

*สังฆราชเปรียบแล้วก็คือ"นายกสังฆมนตรี"ซึ่งไม่ต่างกับข่าวลือว่าในสายการปกครองของฆราวาสที่วังไม่ยอมให้สายทักษิณขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่ากติกาประชาธิปไตยจะเป็นอย่างไร?

*วันนี้ชัดแล้วตั้งแต่เถระสมาคมใช้มติเสียงข้างมากเลือก"สมเด็จเกี่ยว"พระสายมหานิกายเจ้าอาวาสวัดสระเกศเป็นผู้รักษาการสังฆราชก็เกิดม็อบศาสนานำโดยนายทองก้อนและหลวงตามหาบัวซึ่งเป็นพระสายวังออกมาก่อม็อบจนเป็นจราจลต่อต้าน(สูตรเดียวกันกับม็อบพันธมิตรและม็อบกปปส.ทางโลกออกมาก่อจราจลล้มมติมหาชน)และจนแล้วจนรอดวังก็ไม่ยอมประกาศแต่งตั้งสมเด็จเกี่ยวขึ้นเป็นสังฆราชทั้งๆที่สังฆราชสมเด็จญานสังวรณ์ได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนนานกว่า10ปีแล้วแต่ก็โกหกว่ายังทรงมีพลานามัยสมบูรณ์...ดื้อรั้นจนประกาศข่าวสมเด็จเกี่ยวสิ้นใจก่อนแล้วจึงประกาศข่าวสมเด็จญานสังวรณ์สิ้นพระชนม์แถมด้วยความเชื่อประหลาดให้เผาสมเด็จเกี่ยวก่อนแต่เก็บร่างสมเด็จญานสังวรณ์ไว้ว่าท่านยังอยู่จึงยังไม่ประกาศแต่งตั้งสมเด็จช่วงให้เป็นพระสังฆราชเสีียเฉยๆจนถึงวันนี้

*จับตาดูกันต่อไปว่ายุทธ์จะทำอย่างไรกับปัญหา"บ้านวัดวัง"ที่กำลังจะพังพร้อมกัน?...ก็ในเมื่อ"บ้าน"ก็ยุ่งเศรษธกิจตกต่ำจนเมษายังหาเงินมาเพิ่มเงินเดือนให้ราชการที่คสช.ประกาศเอาใจไม่ได้..."วัด"ก็ยุ่ง..."วัง"ก็ยังหาทางลงตัวไม่ได้ทั้งคนไทยและคนเทศต่างเตรียมจับจ้องก่อน2เมษาว่ากษัตริย์ภูิพลจะแสดงตัวกับลูกสาวถ่ายภาพสดๆพร้อมกันได้หรือไม่?แล้วประเทศไทยจะเหลืออะไรเป็นแก่นสารแต่ทั้งหมดนั้นเกิดจากวังที่บ่างเปรมยังอยู่รับใช้เทพถ่างเพราะนรกยังไม่ว่างมารับตัว

...แล้วพบกันใหม่//