วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตาสว่างที่3 ศาลเป็นของกษัตริย์: ใครเจอข้อหาหมิ่นกษัตริย์ไม่มีรอดสักราย

10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:

ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน

นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี


ตาสว่างที่3 ศาลเป็นของกษัตริย์:ใครเจอข้อหาหมิ่นกษัตริย์ไม่มีรอดสักราย



การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24มิถุนายน 2475 ของคณะราษฎรเพื่อให้อำนาจอธิปไตยทั้งสามที่เป็นของกษัตริย์โอนมาเป็นของประชาชน,แต่มีหนึ่งในอำนาจนั้นที่คณะราษฎรไม่ได้แตะต้องเลยคือ"ศาล",ดังนั้นอำนาจตุลาการซึ่งเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยจึงเป็นอำนาจของกษัตริย์โดยสมบูรณ์ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมาก่อน

โดยหลักการและตามความเป็นจริงที่ผ่านมาใครก็ตามที่มีคดีความกับกษัตริย์หรือกับครอบครัวของกษัตริย์ศาลจะตัดสินให้แพ้ทั้งนั้นดังเช่นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรวมถึงใครก็ฟ้องกษัตริย์และครอบครัวของกษัตริย์ต่อศาลไม่ได้และถ้าใครขืนฟ้องก็เดินไม่ทันถึงศาลก็จะเกิดอาการหัวใจขาดเลือดโดยไม่รู้สาเหตุมาก่อน,ตามความเป็นจริงมีข่าวการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหรือการตายอย่างลึกลับของหลายคน(แต่ทุกคนรู้ว่าคนในครอบครัวกษัตริย์เป็นคนสั่งฆ่าเช่นนางศิรินทิพย์ดาราหนัง,นายประเสริฐ เลขาฟ้าหญิงอุบลรัตน์และล่าสุดพ.ต.อ.อัครวุฒิ ที่ตกตึกตายในค่ายทหารเป็นต้น)แต่ไม่มีญาติผู้ตายคนใหนกล้าแม้แต่จะร้องเรียน,และนับแต่การตายของรัชกาลที่8 กษัตริย์ภูมิพลก็ยิ่งเห็นถึง"พลังอำนาจตุลาการ"ที่ศาลบางคนได้เข้าช่วยเหลือจนพ้นจากการดำเนินคดีโดยศาลตัดสินบิดเบือนโยนความผิดให้ข้าราชบริพาร3คนรับเคราะห์แทนและตัดสินประหารชีวิตจึงทำให้กษัตริย์ภูมิพลเกาะติดกับผู้พิพากษามากขึ้นไม่น้อยไปกว่าการเกาะติดอำนาจทหารเราจะเห็นได้จากการเลือกสรรคณะองคมนตรีจะมีแต่ข้าราชการสองสายอาชีพที่ถูกเรียกให้เข้าไปรับใช้ใกล้ชิดจำนวนมากที่สุดคือทหารกับ"ศาล"รวมถึงการแจกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งสำคัญๆทางการเมืองหลังการรัฐประหารทุกครั้งนอกจากมีทหารเป็นหลักแล้วก็จะมีผู้พิพากษาหรือศาลมีส่วนร่วมมากที่สุดดังจะเห็นตั้งแต่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี,นายประกอบ หุตะสิงห์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี หลังเหตุการฆ่าประชาชนเมื่อ14 ตุลาคม 2516 ,นายธานินท์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรีในเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนอย่างโหดร้ายที่สุดเมื่อ 6 ตุลาคม2519และยิ่งในโลกยุคใหม่ที่ต้องการให้การบริหารรัฐมีกติตาที่ชัดเจนแต่กษัตริย์ภูมิพลกลับไม่ยอมเคารพกติตาเราจึงเห็นการขนผู้พิพากษาออกมาเล่นการเมืองในทุกรูปแบบมากที่สุดเพื่อให้การควบคุมอำนาจเป็นไปตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์ภูมิพล


ต้องยอมรับความจริงว่าการรัฐประหารและการสังหารหมู่ประประชาชนในโลกยุคใหม่นั้นทำไม่ได้แล้วแต่เพราะกษัตริย์ภูมิพลและครอบครัวยังคงต้องการรักษาอำนาจแบบโบราณไว้ไม่ยอมให้เกิดการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเพราะไม่ต้องการให้อำนาจหลุดจากมือของตนและครอบครัวไปเป็นของประชาชนการรัฐประหารและการสังหารประชาชนที่พระองค์ทรงระแวงสงสัยว่าจะเป็นอันตรายต่อการถือครองอำนาจของตนจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้นักกฎหมายมาออกรูปแบบโครงสร้างอำนาจให้ริดรอนอำนาจของประชาชนและซ่อนอำนาจของกษัตริย์แฝงไว้ทุกขั้นตอนแต่หากพระองค์ยังไม่พอพระทัยก็จะเกิดการส่งสัญญานให้ทำรัฐประหารอีกแล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่อีกเพื่อให้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พระองค์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นการรัฐประหาญฉีกรัฐธรรมนูญอยู่เสมอในประเทศไทยและมีการนิรโทษกรรมอย่างง่ายๆโดยความเห็นชอบของกษัตริย์ภูมิพล


นอกจากนี้ศาลไทยยังอุกอาจกล้าที่จะปกป้องคุ้มครองการสังหารประชาชนตามพระราชประสงค์ด้วยดังจะเห็นได้ว่าการสังหารหมู่ประชาชนโดยทหารของพระราชาที่เกิดขึ้นหลายครั้งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดแต่ปรากฎว่าผู้กระทำผิดไม่เคยถูกดำเนินคดีเลยหรือแม้หากศาลจำเป็นจะต้องรับฟ้องแต่สุดท้ายก็จะตัดสินยกฟ้องหรือทำให้คดีต้องเกิดการชะงักงันดำเนินต่อไม่ได้เช่นการสั่งจำหน่ายคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกฟ้องเป็นจำเลยในข้อหาเป็นออกคำสั่งสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ในปี2553 ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าทั้งสองคนนี้เป็นหุ่นเชิดของกษัตริย์ภูมิพลและราชินีที่อยู่เบื้องหลัง(เป็นที่มาของข้อความว่าไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั่งยิง)เป็นต้น


ด้วยเหตุที่กษัตริย์ภูมิพลต้องการให้อำนาจสูงสุดอยู่ในมือตนเองนี้จึงจำเป็นต้องสร้างอิทธิพลครอบงำกระบวนการยุติธรรมโดยส่งเสริมวาทกรรมว่า"ศาลคือตัวแทนพระมหากษัตริย์"(ไม่ต่างอะไรกับฑูตคือตัวแทนของพระมหากษัตริย์หรือทหารพระราชา)ก็ยิ่งทำให้ศาลออกห่างจากประชาชนและออกห่างจากความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น และในภาคปฏิบัติก็ได้เลือกเฟ้นบุคคลที่พร้อมจะเป็นสุนัขรับใช้มากลุ่มหนึ่งเพื่อทำการล้างสมองโดยมอบทุนส่วนพระองค์ให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศและก่อนจะเดินทางไปก็ให้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเมื่อกลับมาก็ได้รับปูนบำเหน็จรางวัลและให้เกิดความหวังอันสูงสุดว่าถ้าศาลคนใดรับใช้ตามพระราชประสงค์ทุกอย่างจนพอพระทัยก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีและได้ดิบได้ดีในชีวิตดังเช่นนายสัญญา ธรรมศักดิ์,นายธานินท์ กรัยวิเชียร,นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ เป็นตัวอย่าง,ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องถามว่าทำไมคนเรียนเก่งเฉลียวฉลาดอย่างนายจรัล ภักดีธนากุลหรือนายสุพจน์ ไข่มุก ที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ หรือนายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาที่ผันตัวมาเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้จึงกล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ผิดและละเมิดหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่ใครฟังก็รู้ว่าไร้เหตุผลเช่น"ให้ราดยางถนนให้หมดก่อนค่อยคิดทำรถไฟความเร็วสูง"เป็นต้น


ภาวะการณ์ที่ศาลแสดงตัวรับใช้ถวายชีวิตให้แก่กษัตริย์ภูมิพลในบั้นปลายชีวิตที่ทรงอำนาจมากที่สุดนี้ได้เปิดเผยตัวตนของกระบวนการยุติธรรมไทยว่าเป็น"กระบวนการยุติธง"คือตัดสินคดีตามธงคำสั่งที่ส่งผ่านคนใกล้ชิดหรือหุ่นเชิดเช่นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงทำให้ระบบสังคมการเมืองไทยปั่นป่วนที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน


         --------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น