วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10 ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ตาสว่าง1.

10 ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน

นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี


ตาสว่าง1. รัชกาลที่9 ฆ่าพี่ชายคือจุดเริ่มต้นระบอบราชาธิปไตยใหม่


ราชวงศ์จักรีเป็นราชวงศ์บาปที่ต้นตระกูลคือนายทองด้วงสมคบกับขุนนางใหญ่ทำรัฐประหารจับพระเจ้าตากสินซึ่งมีพระคุณต่อแผ่นดินฆ่าหมดโคตรบาปกรรมจึงตกกับแผ่นดินจนถึงเช้าวันที่ 9มิถุนายน 2489 วงจรอุบาทว์ก็หวนกลับมาที่เจ้าฟ้าภูมิพลฆ่ารัชกาลที่8เจ้าฟ้าอานันทมหิดลพี่ชาย,จากสถานการณ์นี้ฝ่ายราชสำนักจึงฉวยโอกาสจากความใจอ่อนของคณะราษฎรโดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์และการวางแผนร่วมของนางสังวาลย์สมเด็จย่าร่วมกันปิดคดีแต่งตั้งเจ้าฟ้าภูมิพลขึ้นเป็นรัชกาลที่9 แล้วหลังจากนั้นราชสำนักก็จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เชื้อพระวงศ์ร่วมกันก่อตั้งทำการตลบหลังป้ายสีว่านายปรีดีเป็นผู้วางแผนลอบปลงพระชนม์แล้วประหารชีวิต 3ข้าราชบริภารที่เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดร.8 คือ นายชิต,นายบุศและ นายเฉลียว, แต่จนถึงวันนี้หลักฐานจากคำพิพากษาและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ยืนยันแล้วว่า 3ข้าราชบริภารนี้เป็นแพะและปรีดีก็บริสุทธิ์

ความจริงเรื่องการตายของ ร.8 จึงชัดเจนด้วยหลักฐานและเหตุการณ์ทางการเมืองกว่า 60ปี ว่า ร.9 เป็นคนฆ่า ร.8, การปิดบังอำพรางเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้มีวิธีการที่เลวร้ายและทำอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยคือห้ามพูดห้ามวิจารณ์ห้ามศึกษาวิจัยค้นหาใดๆในเหตุการณ์นี้แม้แต่ในสถาบันการศึกษาทุกแห่งทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกโดยใช้กฎหมายมาตรา112 ลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างรุนแรงและอย่างเหวี่ยงแหรวมทั้งห้ามไม่ให้มีการบันทึกเหตุการณ์การสวรรคตของรัชกาลที่8 ในทุกแห่งแม้แต่ในหนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาของไทย, เรื่องนี้จึงกลายเป็นความดำมืดและเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่กษัตริย์ภูมิพลเพื่อปิดบังอาชญากรรมที่ตนเองก่อขึ้นและหวาดระแวงตลอดเวลาว่าความจริงจะเปิดเผยดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างเกราะคุ้มกันด้วยการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ที่ตัวเองด้วยวิธีการที่เลวร้ายโดยใช้วิธีแบ่งแยกแล้วทำลายอำนาจฝ่ายตรงข้ามทีละส่วนไม่ให้ใครขึ้นมามีอำนาจได้ยาวนานรวมถึงการทำลายระบอบประชาธิปไตยไม่ให้ตั้งมั่นที่จะสร้างผู้นำที่เข้มแข็งได้และนี้คือจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ที่หยั่งรากลึกยาวนานกว่า 60ปี ที่สร้างผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศแผ่นดินต้องทุกข์ระทมผู้คนยากจนตราบจนใกล้สิ้นรัชกาลปัญหายิ่งเน่าเฟะ, ด้วยเหตุนี้รัฐไทยตลอดรัชสมัยของพระองค์จึงเป็นช่วงที่มีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญมากที่สุดโดยพระองค์ท่านได้เข้าร่วมดำเนินการเองทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งเชิดตัวแทนขึ้นปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประชาธิปไตยส่งสัญญาณว่าจะมั่นคงก็จะสนับสนุนให้ทหารทำรัฐประหารแล้วแบ่งเศษอำนาจให้ขุนศึกและเมื่อเกิดการระแวงสงสัยก็จะทำลายอย่างเลือดเย็น,หลักฐานชัดเจนคือทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหารจะมีคนใกล้ชิดกษัตริย์ภูมิพลขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี, ที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่การรัฐประหาร ปี2500 เป็นต้นมาเช่นนายพจน์ สารสิน (สายสกุลสารสินของนายพจน์เช่นอาสา สารสิน,นายพงศ์ สารสินเป็นต้นก็ยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ร่วมกับวังไม่สุดสิ้นอยู่จนถึงวันนี้), นายธานินท์ กรัยวิเชียร(องคมนตรี), พลเอกเปรม ตินสูลานนท์(องคมนตรี), นายอานันท์ ปันยารชุน, พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์(องคมนตรี)รวมถึงการปูนบำเหน็จให้แก่แกนนำผู้ยึดอำนาจเป็นององคมนตรีเช่นการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็ดึงเอาพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศขึ้นเป็นองคมนตรีโดยไม่อายฟ้าดินและล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นทหารคนสนิทของวัง(ทั้งแม่และเมียก็รับใช้อยู่ในวัง) แต่หากนายกฯ คนใดแสดงให้เห็นว่าจะมีอำนาจทางการเมืองมั่นคงแม้จะเป็นคนสนิทของพระองค์ก็จะถูกทำลายด้วยรูปการต่างๆ รวมถึงวิธีการที่ไม่น่าเชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลที่ประกาศเชิดชูคุณธรรมด้วยถ้อยคำว่า "เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม" จะกล้าทำนั่นคือสนับสนุนให้สายงานอำนาจของตนก่อจลาจลในบ้านเมืองเพื่อใช้เป็นข้ออ้างล้มนายกฯ และตั้งตัวแทนของตนขึ้นเป็นนายกฯเองเช่นการล้ม จอมพลป. พิบูลย์สงคราม ด้วยการก่อจลาจลว่าเลือกตั้งไม่เป็นธรรมก็ให้นายพจน์ สารสินขึ้นเป็นนายกฯก่อนจะเปิดทางให้ จอมพลสฤษธิ์, จอมพลถนอม กิติขจร ถูกโค่นล้มด้วยเหตุการณ์จลาจล 14 ตุลา 2516 ก็ให้องคมนตรีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นเป็นนายกฯ, เสนีย์ ปราโมช กษัตริย์ภูมิพลลงมือปลุกลูกเสือชาวบ้านด้วยตัวเองให้ฆ่านักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายกลางสนามหลวงด้วยการใส่ร้ายว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แล้วล้มรัฐบาลให้องคมนตรีนายธานินท์ กรัยวิเชียรขึ้นเป็นนายกฯ, พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ถูกโค่นล้มจากการก่อม็อบกรณีรถเมล์ขึ้นราคาก็ให้พลเอกเปรม ขึ้นเป็นนายกฯ, พลเอกสุจินดา คราประยูรถูกโค่นล้มจากกรณีก่อการจลาจลของพลตรีจำลองด้วยข้ออ้างว่าไม่มาจากการเลือกตั้ง(แต่แท้จริงทหารรุ่น5 เป็นเอกภาพมากกลัวจะแผ่อำนาจนาน) ก็ให้นายอานันท์เป็นนายกฯ, ทักษิณ ถูกโค่นล้มก็ให้องคมนตรีพลเอกสุรยุทธขึ้นเป็นนายกฯ, ก่อจลาจลยึดทำเนียบและสนามบินของกลุ่มพันธมิตรที่ใช้สัญลักษณ์พระนามย่อ ภปร. ล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช(อดีตคนเคยรักแต่เกลียดเพราะไปใกล้ทักษิณโดยไม่อาจดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรที่กระทำผิดได้จนทุกวันนี้) แล้วให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นเป็นนายกฯและปกป้องอำนาจให้นายอภิสิทธิ์โดยสั่งการให้ทหารสังหารประชาชนผู้ร้องขอให้ยุบสภาอย่างเหี้ยมโหดที่ราชประสงค์ในเดือนพฤษภาคม2553 (ก็ไม่อาจจะดำเนินคดีกับหุ่นเชิดนายอภิสิทธิ์-สุเทพได้อีกเช่นเดียวกับการสังหารประชาชนในอดีต), แต่รายล่าสุดทำรัฐประหารล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แล้วให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คนสนิทขึ้นเป็นนายกฯยังไม่รู้จุดจบเพราะพระองค์หมดสภาพใกล้สิ้นพระชนม์และทิ้งปัญหาวิกฤติการแต่งตั้งรัชกาลที่10 ไว้อันเป็นบาปกรรมที่หวงแหนอำนาจไว้จนลมหายใจสุดท้ายเช่นทุกรัชกาล

ด้วยเหตุนี้ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวภายใต้ "ระบอบราชาธิปไตยใหม่"  ที่กษัตริย์จะเชิดตัวแทนขึ้นบริหารแต่ไม่ให้มีอำนาจจริง, โดยอำนาจจริงอยู่ในมือกษัตริย์ภูมิพลโดยการกุมกองทัพ, ศาลและสื่อมวลชนเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงเรื่องคุณธรรมจอมปลอม, ตลอดรัชสมัยของพระองค์จึงตกอยู่ในวงจรอุบาทมีการรัฐประหารมากที่สุด, มีความสงบสุขเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น, ไม่ว่าใครจะขึ้นมาปกครองก็ไม่มีอำนาจจริงจึงเป็นที่มาของระบอบพิการคือ "คนมีอำนาจไม่บริหารและคนบริหารก็ไม่มีอำนาจ" และนี้คือระบอบราชาธิปไตยใหม่

โดยกลไกทางธรรมชาติและผลกรรมที่กษัตริย์ภูมิพลก่อไว้กำลังทำลายตัวเอง,ขอเพียงแต่พี่น้องประชาชนศึกษาเพื่อให้เกิดตาสว่างร่วมกันแล้วจงหาวิธีการกำจัดระบอบที่เลวร้ายเพื่อสร้างรัฐใหม่ที่มั่นคงเพื่อให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง/


1 ความคิดเห็น: